เมษายน 16, 2024, 11:40:50 AM
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
*

เล่าเรื่องทริป "ทีลอซู"
หน้า: « 1 2   ลงล่าง
  พิมพ์  

  เล่าเรื่องทริป "ทีลอซู"
ผู้เขียน ข้อความ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 06:36:33 PM »

อีกราว 10 นาทีต่อมา  ทางเรือก็เรียกพวกเราทุกคนมาลงแพยาง  ผมเองเคยมีประสบการณ์ล่องแพยางที่นี่มาก่อน ก็บอกสมาชิกทุกคนว่า  เลนส์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในแพ  ควรใช้เลนส์ 24-105 mm สำหรับกล้องฟูลเฟรม  ส่วนใครที่ใช้กล้องตัวคูณก็ไปคำนวณหาเอาเอง   แต่ตัวผมเองดันเอาเจ้า 16-35 mm ติดกล้อง   เพราะคิดว่ามุมที่ใช้ถ่ายด้วย 24-105 mm นั้น  เคยถ่ายแล้ว จึงอยากได้มุมภาพที่ไม่เหมือนบ้าง   เพราะการที่ไปถึงบริเวณน้ำตกแล้วคิดจะเปลี่ยนเลนส์นั้น ค่อนข้างเสี่ยง  เพราะละอองน้ำในอากาศที่อยู่ใกล้น้ำตกอาจลอยเข้าไปกระทบเซ็นเซ่อร์  จึงอาจจะสร้างความสกปกให้กับภาพได้  จึงต้องตัดสินใจว่าจะใช้เลนส์ตัวไหนให้แน่นอนเสียตั้งแต่ก่อนจะล่องแพออกไป  น้าโอ๊ค  น้าเล็ก  เตรียมป้องกันกล้องจากการเปียกน้ำอย่างเต็มที่  แต่ผมเคยมาก็พอรู้ว่ามันไม่ค่อยน่ากลัวอะไรมากนัก  จึงไม่ได้มีการป้องกันมากนัก  อีกทั้งก่อนลงแพ  ผมเห็นน้าชิตแกเอาถุงพลาสติกคลุมกล้องกับเลนส์ เอาหนังยางรัดเอาไว้  ผมจึงทำตาม เผื่อว่าเวลาที่แพมุดเข้าไปใต้ม่านน้ำตก  กล้องจะได้ปลอดภัยจากน้ำ  เพราะจุดที่เป็นไฮไลท์ของการล่องแพคือ  น้ำตกทีลอจ่อ ที่อยู่ระหว่างทางการล่องแพนี่เอง 


* FRW_2779.JPG (359.02 KB, 1000x680 - ดู 35 ครั้ง.)

* FRW_2807.JPG (383.31 KB, 1000x674 - ดู 34 ครั้ง.)


Share

แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #16 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 06:38:12 PM »

ผมเป็นคนที่ชื่นชอบกับธรรมชาติ   แม้ว่าการล่องแพที่นี่ ผมจะเคยมาแล้วก็ตาม   แต่พอได้ล่องแพก็อดรู้สึกชื่นชมกับธรรมชาติรอบๆข้างไม่ได้  เสียอย่างเดียวที่เวลานี้ น้ำในแม่กลองยังขุ่นมาก  จึงเสียความรู้สึกที่ดีๆไปส่วนหนึ่ง  กระแสน้ำไหลเอื่อยๆไม่แรงมากนัก  นั่งกันแบบสบายๆไม่ต้องกังวลใดๆ  เราได้รับการแนะนำตัวผู้ควบคุมแพยางที่อยู่ด้านหลังว่า ชื่อมีนา  เป็นคนไทยเชื้อสายกระเหรี่ยง  อายุอานามคงราวๆ 28-30ปีเห็นจะได้   รูปร่างใหญ่แต่ไม่สูงนัก  พูดจาสุภาพมากแม้ว่าจะพูดไทยไม่ชัดมากนักก็ตาม  ซึ่งนอกจากแกจะควบคุมแพยางแล้ว  แกจะเป็นไกด์ดูแลสมาชิกกลุ่มของเราจนกว่าจะกลับมาถึงรีสอร์ตในวันรุ่งขึ้น  ส่วนหนุ่มน้อยที่ควบคุมแพยางที่อยู่ด้านหน้ามีชื่อว่า ก้อง  อายุน่าจะราวๆ 15-16 ปีเท่านั้น   เมื่อล่องออกไปตามลำน้ำ   เราก็พบกับแพยางบรรทุกนักท่องเที่ยวที่ล่องมาตามลำน้ำอีกหลายลำ  อากาศกำลังพอดีๆ ไม่หนาว ไม่ร้อน  พวกเราเฮฮากันตามประสา  แอบถ่ายภาพแพลำอื่นๆบ้าง ถ่ายป่าเขาลำเนาไพรบ้าง  ถ่ายลำน้ำแม่กลองบ้าง   สองฟากริมตลิ่งเงียบสงบ  เราแทบไม่ได้เห็นสัตว์ป่าอะไรเลยตลอดเส้นทาง นอกจากเจ้าลิงก้นแดงตัวเดียวกับนกอีก 2-3 ตัวเท่านั้น 


* FRW_2756.JPG (376.99 KB, 1000x674 - ดู 35 ครั้ง.)

* FRW_2759.JPG (331.27 KB, 1000x674 - ดู 34 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #17 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 06:41:24 PM »

ในช่วงหนึ่งของลำน้ำที่ไหลผ่านกระทบชะง่อนผา   จากนั้นลำน้ำก็จะหักเหออกทางซ้ายมือ  และเป็นช่วงที่น้ำไหลเชี่ยวขึ้น   มันจึงพาแพยางของพวกเราพุ่งตรงเข้าหาชะง่อนผาที่ว่านั่นอย่างรวดเร็ว  เจ้าก้องที่ควบคุมอยู่ด้านหน้าแพยางเอาพายจ้วงน้ำสุดกำลังหลายครั้งหลายหน   แต่ดูเหมือนว่ามันจะสายไปเสียแล้ว เพราะแพยางของเราดันหลุดเข้าไปในร่องน้ำที่กำลังเชี่ยวกราก   ในเสี้ยววินาทีคับขันนั้น  เจ้าก้องตัดสินใจล้มตัวลงจากแพยางลงไปว่ายกระดื้บๆในลำน้ำแม่กลอง   เพราะหากแกไม่ล้มตัว  หัวของแกคงจะต้องฟาดเข้ากับชะง่อนหินผานั่นแน่ๆ     ครั้นจะล้มหงายหลังลงมาในแพยางก็ติดพวกเราที่นั่งขวางอยู่   ทางเดียวที่จะพ้นไปได้ก็คือ ลงน้ำเท่านั้น   ทันทีที่เจ้าก้องตกน้ำ  หลังจากนั้นเพียงแค่เสี้ยววินาทีต่อมาก็ถึงคิวพวกเราที่นั่งอยู่หัวแพต้องก้มหัวหลบชะง่อนหินนั่นบ้าง  กว่าจะผ่านพ้นออกมาได้ก็ทำเอาใจหายใจคว่ำไปเล็กน้อย    เจ้าก้องว่ายน้ำตามมาเกาะข้างแพและโหนตัวกลับขึ้นมาบนแพอย่างชำนาญ   เมื่อวิกฤตผ่านพ้นไป  ก็กลายเป็นเรื่องตลก เรียกเสียงฮาจากพวกเราซะยกใหญ่   


* FRW_2785.JPG (331.07 KB, 1000x674 - ดู 34 ครั้ง.)

* FRW_2814.JPG (361.8 KB, 1000x674 - ดู 33 ครั้ง.)

* FRW_2838.JPG (339.31 KB, 1000x674 - ดู 33 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #18 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 06:45:37 PM »

เวลาผ่านพ้นไปราวชั่วโมงเศษๆ  ลำน้ำแม่กลองก็หักเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง  พอเข้าทางตรงวิวข้างหน้าก็เผยให้เห็นสายน้ำตก “ทีลอจ่อ” ที่รอพวกเราอยู่เบื้องหน้า  พวกเราตื่นเต้นกับสายน้ำตกที่สวยงามนั่น  แต่ผมรู้ว่า มุมมองมันยังไม่ใช่ตรงนี้  เราต้องรอให้แพยางของเราเข้าไปใกล้กว่านี้  ละอองน้ำบวกกับทิศทางของแสงแดดยามสายๆ   มันจะก่อให้เกิดสายรุ้งในม่านน้ำตกที่สวยงามราวกับความฝันเลยทีเดียว   และหากแพยางของเราเลยน้ำตกขึ้นไปและมองย้อนกลับมาที่น้ำตกในลักษณะย้อนแสง  เราจะเห็นแสงอาทิตย์ที่ส่องลอดกิ่งไม้ ใบไม้  แล้วทอดเงาไปกระทบม่านน้ำตกก่อให้เกิดเป็นมิติภาพที่สวยงามอย่างประหลาดสุดที่จะบรรยายเลยทีเดียว


* FRW_2858.JPG (347.67 KB, 1000x675 - ดู 33 ครั้ง.)

* FRW_2869.JPG (326.5 KB, 1000x674 - ดู 35 ครั้ง.)

* FRW_2870.JPG (348.53 KB, 1000x674 - ดู 33 ครั้ง.)

* FRW_2881.JPG (337.89 KB, 674x1000 - ดู 33 ครั้ง.)

* FRW_2936.JPG (341.03 KB, 674x1000 - ดู 33 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #19 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 06:49:40 PM »

น้ำตกทีลอจ่อ  หรือที่นักท่องเที่ยวตั้งชื่อภาษาไทยให้ว่า น้ำตกสายรุ้ง   เพราะเมื่อม่านน้ำตกกระทบแสงแดดจะก่อให้เกิดสายรุ้งที่สวยงามอยู่ชั่วนาตาปี  มาเมื่อไรก็ชื่นใจเมื่อนั้น


* FRW_3041.JPG (323.13 KB, 1000x694 - ดู 31 ครั้ง.)

* FRW_3044.JPG (319.48 KB, 1000x689 - ดู 31 ครั้ง.)

* FRW_2963.JPG (352.32 KB, 674x1000 - ดู 30 ครั้ง.)

* FRW_2989.JPG (373.08 KB, 674x1000 - ดู 30 ครั้ง.)

* FRW_3015.JPG (363.93 KB, 674x1000 - ดู 31 ครั้ง.)

* FRW_3022.JPG (394.6 KB, 676x1000 - ดู 33 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #20 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 06:51:50 PM »

พวกเราจากน้ำตกที่ลอจ่อ  (น้ำตกสายรุ้ง)  มาอย่างอาลัยอาวรณ์  และได้ภาพเก็บเข้าในแมมโมรี่การ์ดกันไปคนล่ะหลายภาพ   แพยางพาพวกเราล่องต่อมาระยะหนึ่งก็แวะเข้าริมตลิ่งและให้พวกเราขึ้นฝั่งไปชมบ่อน้ำพุร้อน  ผมเคยมาแล้วเลยรู้ว่าน้ำพุร้อนที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจนัก  น้ำก็แค่อุ่นๆเท่านั้น   แต่สมาชิกท่านอื่นๆยังไม่เคยมา  เอาว๊ะ  ขึ้นก็ขึ้น  แต่ตลิ่งธรรมชาติก็ไม่ได้ขึ้น-ลงกันง่ายๆ   ทำเอาหวาดเสียวไปตามๆกัน  แม้ว่าบ่อน้ำร้อนที่นี่จะไม่ค่อยน่าสนใจ  แต่จะมีร้านขายของประเภทปิ้งย่าง  เช่น กล้วยปิ้ง ไข่ปิ้ง  มันเทศย่าง  เปล่าหรอกครับ  ผมไม่ได้สนใจอยากรัปทานอะไรหรอก   แต่ที่น่าสนใจสำหรับผมคือ  เตาไฟที่ใช้ปิ้ง-ย่าง มักจะส่งควันหนาทึบลอยออกมาจากเตา  เมื่อมากระทบกับแสงแดดยามสายๆอย่างนี้  มักจะก่อให้เกิดมิติภาพประหลาดขึ้น   ผมจึงเตรียมกล้องไว้ให้พร้อม  คอยมองเหลี่ยมแสงที่จะตกกระทบควันไฟเหล่านั้น  สมาชิกทั้งหมดก็เห็นเหมือนที่ผมเห็น  พวกเราเลยมองเหลี่ยมแสงกันใหญ่


* FRW_3048.JPG (313.65 KB, 1000x674 - ดู 32 ครั้ง.)

* FRW_3057.JPG (362.43 KB, 1000x675 - ดู 31 ครั้ง.)

* FRW_3071.JPG (220.71 KB, 1000x667 - ดู 30 ครั้ง.)

* FRW_3077.JPG (323.83 KB, 1000x674 - ดู 33 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #21 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 06:56:11 PM »

พวกเราลงแพยางอีกครั้ง  ระหว่างล่องแพ  ก็มีผีเสื้อมาเกาะตามแขน-ขา  เอาว๊ะ  เมื่อเปลี่ยนเลนส์ในแพยาก  ก็ส่องมันด้วยเลนส์ 16-35 mm นี่ก็แล้วกัน


* FRW_3094.JPG (340.29 KB, 1000x673 - ดู 33 ครั้ง.)

* FRW_3093.JPG (281.48 KB, 1000x708 - ดู 33 ครั้ง.)

* FRW_3095.JPG (378.85 KB, 1000x727 - ดู 32 ครั้ง.)

* FRW_3099.JPG (386.49 KB, 1000x720 - ดู 31 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #22 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 06:57:50 PM »

ล่องลำน้ำแม่กลองไปอีกพักใหญ่  ก็มาถึงจุดหมายปลายทางของการล่องแพยาง   แพยางหักหัวเข้าเทียบฝั่ง  หลังจากที่พวกเราเดินขึ้นจากแพแล้ว  เจ้าก้องกับมีนาก็ช่วยกันยกแพยางขึ้นฝั่งตามมา  จากนั้นก็ดึงจุกที่ปิดช่องลมออก ปล่อยลมออกจากแพยางจนหมดและพับเก็บยกไปขึ้นรถกลับอุ้มผาง   ส่วนพวกเราเจ้ามีนาชี้ให้ไปนั่งในซุ้มที่พัก   และนำข้าวกล่องที่เตรียมมาจากรีสอร์ต   ฝากมากับรถยนต์มาแจกให้กับลูกทัวร์ทุกคน   พออิ่มเจ้ามีนาก็เชิญลูกทัวร์ทุกคนไปขึ้นรถ 4WD ที่รีสอร์ตจัดเตรียมไว้คอยอยู่แล้ว   ไกด์มีนาบอกพวกเราว่า  พวกเราจะต้องเดินทางด้วยรถ 4WD อีกราๆ 12 กิโลเมตร  จึงจะถึงที่ทำการน้ำตกทีลอซู


* FRW_3112.JPG (370.19 KB, 1000x851 - ดู 32 ครั้ง.)

* FRW_3117.JPG (389.31 KB, 1000x674 - ดู 31 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #23 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 07:08:17 PM »

รถ 4WD พาพวกเราโขยกเขยกผ่านเส้นทางที่เราไม่อยากเรียกว่าทางเลย  เพราะบางช่วงรอยล้อรถที่บดผ่านไปก่อให้เกิดร่องลึกมากทีเดียว   ประกอบกับที่ฝนยังไม่ขาดช่วง  จึงเกิดเป็นน้ำท่วมขังตามร่องรอยล้อรถ บางจุดจึงลื่นไถล หากไม่ใช่รถ 4WD คงไม่สามารถผ่านไปได้แน่ๆ   ฉะนั้นแม้ว่าระยะทางมันจะเพียงแค่ 12 กิโลเมตร  แต่ต้องใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมง  และทุกคนก็รู้สึกว่า ข้าวกล่องที่เจ้ามีนาแจกมาให้เป็นอาหารเที่ยงได้หายไปจากกระเพาะพวกเราหมดสิ้นแล้ว  เพราะรถมันเขย่าเหลือเกิน  ราวบ่ายโมงเศษรถก็พาพวกเรามาถึงที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ทีลอซู พร้อมด้วยความสะบักสะบอมของทุกคน

หลังจากที่เอากระเป่าเดินทางเก็บเข้าเต็นท์ที่พัก  โดยการนำทางของไกด์มีนาก็พาพวกเราเดินขึ้นไปน้ำตกทันที   ก่อนมาทริปนี้  ผมได้คุยกับทางรีสอร์ตมาว่า  อยากให้ไกด์นำพวกเราไปจุดถ่ายภาพที่สามารถเห็นมุมน้ำตกทีลอซูได้มากกว่าที่คนทั่วๆไปเค้าถ่ายกัน   โดยแจ้งว่าผมเคยเห็นภาพที่เหมือนถ่ายมาจากเขาอีกลูกหนึ่งที่ไม่ใช่เขาที่น้ำตกอยู่   ทางรีสอร์ตรับปากว่าจะให้ไกด์จัดให้ตามประสงค์   เมื่อถามไกด์มีนา  แกก็พยักหน้ารับและยืนยันว่าจะพาขึ้นไปให้   เมื่อเรามาถึงน้ำตกชั้นล่าง  บางคนก็แยกตัวออกไปหามุมถ่าย  แต่ผมเห็นว่าน้ำยังสีขุ่นมาก  จึงไม่ค่อยสนใจนัก   หลังจากที่ทุกคนพร้อมก็เดินต่อขึ้นไปอีก ระยะทางเดินราว 1.5 กิโลเมตร  ทางไม่ถึงกับชัน เดินสบายๆพอกำลังหอบก็ถึงน้ำตกพอดี  ทันทีที่เห็นความใหญ่โตของน้ำตก  พวกเราก็แยกย้ายกันหามุมถ่าย   ผมเดินลงไปที่แอ่งน้ำที่สายน้ำตกกระโจนลงมา  เดินลัดเลาะปีนป่ายไปตามแก่งหินจนได้มุมที่คิดว่าน่าจะดีที่สุด  กดไปหลายใบก็ได้แต่ส่ายหน้า  สายน้ำตกมันแรงเกินไป  ทำให้เกิดละอองน้ำฟุ้งกระจาย เข้ากล้อง เข้าหน้าเลนส์ตลอด  ถ่ายยากมาก  แถมน้ำก็ไม่ใสสะอาดเท่าที่ควร  ไม่ได้ดังใจเล๊ย.....


* FRW_3119.JPG (323.6 KB, 1000x674 - ดู 30 ครั้ง.)

* FRW_3147.JPG (341.61 KB, 1000x675 - ดู 30 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #24 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 07:10:34 PM »

ผมปีนกลับขึ้นมาบนลานชมวิวน้ำตกอีกครั้ง  เหลียวมองหาไกด์มีนา   แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ  รออยู่พักใหญ่ๆ  จนกระทั่งทั้งน้ายอด น้าเล็กก็ตามขึ้นมาและถามหาไกด์มีนา   ผมก็ได้แต่ส่ายหน้า  จนกระทั่งสมาชิกทุกคนกลับขึ้นมาหมดแล้ว  ไกด์มีนาก็ยังไม่เห็น  น้ายอดกับน้าเล็กเลยอาสาว่าจะลองปีนชะง่อนหินที่เห็นอยู่สูงขึ้นไปดูว่ามันจะใช่เส้นทางที่ไกด์มีนาบอกหรือไม่   จากนั้น ทั้งสองก็ปีนหายไปในป่าทึบหลังลานนั่นเอง  ผมเดินวนเวียนอยู่แถวนั้น  สอดส่ายสายตาเพื่อมองหาไกด์มีนา  และแล้วแกก็โผล่หน้ากลับมายิ้มร่ามาแต่ไกล  เมื่อเห็นว่าทุกคนพร้อมอยู่แล้วแกก็โบกมือมือให้ทุกคนเดินตามแกไป   ผมบอกว่าน้ายอดกับน้าเล็กปีนขึ้นอีกด้านหนึ่ง  แกบอกว่าไม่เป็นไร  เดี๋ยวส่งพวกผมแล้วแกจะออกไปเดินตามหาเอง  พวกเราจึงปีนป่ายไปตามสายน้ำตกตามแกไป

น้ำตกทีลอซู
ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ห่างจากที่ทำการเขตฯ 3 กิโลเมตร ทีลอซู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่า “น้ำตกดำ” มีลักษณะเป็นภูเขาหินปูนขนาดใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 900 เมตร เกิดจากลำห้วยกลอท้อ ลำน้ำทั้งสายตกลงสู่หน้าผาสูงชัน มีน้ำไหลแรงตลอดปี ความกว้างของตัวน้ำตกประมาณ 500 เมตร ไหลลดหลั่นเป็นชั้นๆ มีความสูงประมาณ 300 เมตรล้อมรอบด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของเอเชีย
ตามความจริงต้องออกเสียงว่า “ทีลอชู” และเป็นคำนามในภาษากะเหรี่ยงแปลว่า “น้ำตก” ชื่อ ทีลอซู เป็นความพยายามแปลความทีละคำโดย “ที” หรือ “ทิ” แปลว่า “น้ำ” “ลอ”หรือ”ล่อ” แปลว่า “ตก”แต่ “ชู”ไม่มีความหมายใกล้เคียง ดังนั้นจึงมีความพยายามทำให้คำที่มีความหมาย เนื่องจาก “ซู” แปลว่า “ดำ” จึงนำไปสู่การเรียกว่า “ทีลอซู” และแปลว่า “น้ำตกดำ”
ทีลอซู ได้รับคำกล่าวขานถึงว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามและมีความสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูฝน ปริมาณน้ำฝนที่มากจะเพิ่มปริมาณน้ำในลำธารทำให้สายน้ำตกกว้างใหญ่กว่าฤดูอื่น แต่เป็นช่วงที่ทางรถเข้าน้ำตกปิด เพื่อป้องกันอันตรายแก่ผู้ใช้เส้นทางและถนอมสภาพทางไม่ให้เสียหาย นักท่องเที่ยวอาจเลี่ยงช่องทางนี้ได้โดยการซื้อทัวร์กับบริษัทนำเที่ยว ซึ่งจะเดินทางด้วยเรือยางและเดินป่าราว 12 กม. แต่หากมาท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาว-ฤดูร้อน ก็สามารถใช้เส้นทางรถยนต์เข้าน้ำตกได้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เที่ยวได้สะดวกที่สุด ไม่ว่าจะเที่ยวแบบไป-กลับหรือพักค้างแรม
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้น้ำตกทีลอซูเป็นหนึ่งใน เก้าตะวันตามโครงการมหัศจรรย์เมืองไทย 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน โดยมีจุดเด่นคือ “มหัศจรรย์รุ้งกินน้ำที่น้ำตกทีลอซู”


* FRW_3167.JPG (397.75 KB, 675x1000 - ดู 30 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #25 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 07:14:29 PM »

พวกเราปีนป่ายตามไกด์มีนาโดยผ่านสายน้ำตกจึงเปียกปอนไปตามๆกัน   ผมงี้อยากเขกกะโหลกตัวเองจริงๆที่พอขึ้นจากแพยางได้  ผมก็ดึงถุงพลาสติกที่เอายางหนังสติ๊กรัดคลุมกล้องเพื่อกันน้ำทิ้งไป  มาตอนนี้จึงไม่มีอะไรกันน้ำให้กล้องเลย  ทุกอย่างฝากความหวังเอาไว้กับระบบกันน้ำของกล้องเอง   กันได้ก็กัน  กันไม่ได้ก็พังเท่านั้น  เพราะกล้อง เลนส์ เปียกน้ำเหมือนกันพามันไปลุยฝนมายังไงก็ยังงั้นเลย  พอถึงทางชันมากๆ  ไกด์มีนาก็ยื่นมือมาฉวยเอากระเป๋ากล้องและขาตั้งกล้องเอาไปสะพายแทนผม  เพื่อให้ผมใช้ทั้งสองมือปีนป่ายได้สะดวกขึ้น  บางจุดที่ปีนผ่านไป  ผมเงยหน้าขึ้นมองสายน้ำตกแล้วนึกในใจว่า  มุมนี้ก็สวยมาก  แต่คงถ่ายภาพไม่ได้  เพราะสายน้ำตกกำลังฟุ้งกระจายเป็นละอองน้ำหนาแน่นมาก   ขืนงัดกล้องมาตั้งขาถ่ายตรงนี้มีหวังกล้องได้กลับบ้านเก่าแน่ๆ   จนในที่สุด  พวกเราก็มาถึงจุดที่ไกด์มีนาชี้ให้ดู   โอ้แม่จ้าว........  มันใช่เลย   แต่......  สายน้ำตกมันรุนแรงมาก   ละอองน้ำกระเซ็นฟุ้งตลอดเวลา  แล้วเราจะถ่ายกันได้ยังไงล่ะอีทีนี้   เอาว๊ะ  ไหนๆก็มาถึงแล้ว  เป็นไงก็เป็นกัน  กล้องจะพังก็เป็นพังสิวะ  นึกแล้วก็จัดแจงกลางขาตั้งออก  แล้วก็กดไปพลาง เช็ดหน้าฟิลเตอร์ไปพลาง  แรกก็ใช้ชายเสื้อเช็ด  เพราะไม่กล้าเอาผ้าเช็ดเลนส์ออกมา   แต่เช็ดไปเช็ดมามันก็ไม่สะอาดซะที  เพราะชายเสื้อมันก็เปียกแล้ว  เอาไปเช็ดยังไงมันฟิลเตอร์มันก็ยังเปียกอยู่นั่นเอง  ในที่สุดเลยถอดเสื้อออกมาเช็ดเลยแล้วกัน

หลังจากที่กดไปได้หลายใบ  ผมก็ต้องยอมแพ้กับละอองน้ำ   ยอมถอนตัวก็พอดีกับไกด์มีนาไปพาน้ายอดกับน้าเล็กเข้ามา   ผมเลยสะพายเป้เตรียมตัวเดินลงจากน้ำตกก่อน  โดยฝากให้ไกด์มีนาอยู่ดูแลน้ายอดกับน้าเล็กที่นี่ต่อ  ไกด์มีนาท้วงว่าป๊าจะกลับลงไปก่อนได้หรือ  รอกลับลงไปพร้อมๆกันดีกว่ามั๊ย  แกจะได้ช่วยสะพายเป้ให้  ผมบอกว่าไม่เป็นไร  แค่นี้เอง  ผมลงเองก็ได้  มีนาอยู่ดูน้ายอด น้าเล็กที่นี่เถอะ  ว่าแล้วผมก็หันหลังปีนลงมากับน้าเบนซ์ทันที
เจ้ากรรมแท้ๆ   ช่วงหนึ่งที่ลุยน้ำผ่านสายธารน้ำตก  จากนั้นต้องปีนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งขึ้นไป  เมื่อปีนขึ้นไปได้แล้ว  กำลังยืนเต็มเท้าบนยอดหินก้อนนั้น  ทันใดนั้น  รองเท้าเจ้ากรรมดันลื่นพรวด  ทำให้ผมล้มลงก้นกระแทกจ้ำบ้ำเข้าที่ตรงตำแหน่งที่ยืนพอดี  ผมจุกแอดหายใจไม่เต็มท้องชั่วขณะหนึ่ง  หลังจากที่ประคองตนเองลุกขึ้นได้  ผมก็รู้สึกเสียววาบที่ก้นกบและสันหลัง  ผมรู้ตัวเองทันทีว่า  งานนี้ผมบาดเจ็บสาหัสเสียแล้ว  เมื่อเจ้าเบนซ์ปีนตามาถึง  จึงชวนเจ้าเบนซ์รีบๆปีนลงกันต่อโดยเร็วที่สุด  เพราะรู้ตัวว่า  ตอนนี้ความรู้สึกเจ็บยังไม่มาก   แต่หากเนิ่นนานออกไป  ความเจ็บจะยิ่งทวีคูณ  และกว่าที่ผมจะลงมาถึงเต็นท์ที่พัก   ความเจ็บระบบก็ได้แผ่ไปทั่วสันหลังและก้นกบจนแทบเดินไม่ไหวแล้ว  แถมเจ้ากรรมแท้ๆที่โดยปกติ  ในกระเป๋าเดินทางของผมมักจะมียาจำพวกครีมนวดแก้ปวดเมื่อย  แต่คราวนี้ดันลืมจัดมาซะนี่   ยังโชคดีที่น้าโอ๊คแกมีติดตัวมาเลยส่งมาให้ใช้  ขอบคุณมากครับ   พี่ที่เต็นท์ข้างๆพอได้ยินข่าวว่าผมเดินตกเขาจนเจ็บ  พอดีแกเป็นพยาบาลจึงมียาประเภทแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อมาด้วย  พี่แกจึงส่งมาให้กินแก้ปวดทั้งแผงเลย  ก็ต้องขอขอบคุณมา ณ.ที่นี่ด้วยครับ   และแล้ว....  คืนนั้น  ผมต้องนอนอย่างทรมานทรกรรมทั้งคืน  เวรกรรมแท้ๆ


* FRW_3203.JPG (386.7 KB, 1000x673 - ดู 29 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #26 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 07:15:40 PM »

หลังอาหารเย็น   พวกเราจับกลุ่มคุยกันเบาๆที่ข้างเต็นท์   เจ้าไกด์มีนามาถามว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องบ้างไหม  แล้วถือโอกาสนั่งลงคุยกับพวกเราด้วย   แกเล่าเรื่องชีวิตชาวกระเหรี่ยงดอยอย่างแกให้พวกเราฟัง  เล่าเรื่องการทำมาหากิน  การเพาะปลูกพืชเกษตรในอุ้มผางรวมถึงวิพากษ์วิจารณ์ราคาพืชผลให้พวกเราฟัง   จนค่อนดึก  ฝนก็เริ่มตกปรอยๆตามที่คาดการณ์เอาไว้เมื่อบ่ายว่า  ไม่น่าจะรอดสำหรับคืนนี้  ไกด์มีนาไปหาท่อนไม้มาค้ำผ้าใบกันฝนและช่วยขึงเชือกดึงให้ตึงมากขึ้น  ทำให้เต็นท์ผมมีฝนกระเซ็นเข้ามาในเต็นท์น้อยลง   ส่วนเต็นท์อื่นๆก็คงจะดีขึ้นเช่นกัน   คืนนั้น  นอกจากที่พวกเราต้องนอนทรมานกับน้ำฝนที่เปียกชื้นขึ้นมาจากพื้นแล้ว  ตัวผมเองยังพลิกตัวนอนตะแครงด้วยความเจ็บปวดตลอดคืนจนรุ่งเช้า

6 โมงเช้า  น้ายอดกับน้าเล็กน้าเบนซ์ก็เดินย้อนกลับขึ้นไปยังน้ำตกอีกครั้งโดยตั้งความหวังว่า หากแดดออกจะส่องแสงกระทบน้ำตก  อาจจะเห็นสายรุ้งบ้างก็ได้  ส่วนสมาชิกที่เหลือก็เชื่อว่าอากาศแบบนี้  ยากที่จะมีแดดไปได้  จึงไม่ไป   ผมเองเจ็บหนัก นั่งก็เจ็บ นอนก็เจ็บ ยืนก็เจ็บ  คงหมดปัญญาที่จะไปอยู่แล้ว   เมื่อล้างหน้าล้างตากันแล้วก็เก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับ  พอพวกที่ขึ้นไปน้ำตกลงมาครบและทานอาหารเช้าเสร็จ  พวกเราก็ขึ้นรถกลับอุ้มผางกันทันที   ผมขอไปนั่งหน้าคู่กับคนขับ  เพราะรู้ว่าคงปีนขึ้นข้างหลังกระบะรถไม่ไหว   และคงทนการโยกคลอนเหวี่ยงของรถไม่ได้แน่ๆ  การได้นั่งข้างหน้ารถ  น่าจะผ่อนแรงลงได้บ้าง


* 2016-10-23-13.17.51.jpg (237.23 KB, 900x675 - ดู 30 ครั้ง.)

* 2016-10-24-10.00.32.jpg (273.79 KB, 900x675 - ดู 30 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
FRW
บุญและความรู้ ยิ่งให้เค้าไปเท่าไร ยิ่งได้กลับมามากเท่านั้น
ผู้ดูแลเว็บ
สมาชิกประจำ
******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 166


บางอย่างที่เห็น มันอาจไม่จริงเสมอไป


ดูรายละเอียด
« ตอบ #27 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2016, 07:18:02 PM »

เราผ่านเส้นทางเมื่อขาเข้าออกมา  แต่คราวนี้พวกเราต้องนั่งรถเพิ่มจากที่ขาเข้าไป  เพราะตอนขาเข้าไป เรานั่งแพยางไปกันระยะทางช่วงหนึ่ง  แต่ขากลับนี่ต้องรถยนต์อย่างเดียวเลย  พวกเราโขยกเขยกจนกระทั่งมาถึงตัวอำเภออุ้มผาง  และเข้าไปรีสอร์ต ราวๆ 11 โมงเช้า  หลังจากที่ย้ายของมาที่รถของเราแล้ว  พวกเราก็อำลาเจ๊แหม่ม ออกจากรีสอร์ตของแก   พวกเราแวะไปกินข้าวมื้อกลางวันกันที่ร้านเดิมในอุ้มผางอีกครั้ง  ก่อนออกจากอำเภอในราวๆเที่ยงวัน  

ในระหว่างทางที่นั่งรถออกจากอุ้มผาง   น้าโอ๊คตาดี  ชี้ให้พวกเราดูข้างทางฝั่งขวามือไกลลิบๆออกไปแล้วถามว่า
“นั่นอะไรเหลืองๆ”  

ผมมองตาม  แต่ด้วยตาข้างขวาผมยังมองเห็นไม่ชัดนัก  ไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นทุ่งดอกปอเทืองที่ชาวบ้านปลูกเอาไว้พื้นฟูหน้าดิน  หรือว่าเป็นทุ่งดอกทานตะวันกันแน่  แต่หากเป็นทุ่งทานตะวัน มันก็ไม่น่าจะต้นเตี้ยขนาดนั้น   จึงบอกน้ายอดว่าลองมองสิว่ามันจะมีทางเข้าไปถึงทุ่งที่ว่านั่นได้หรือเปล่า  น้ายอดก็ไวทันใจดีแท้  แกหักพวงมาลัยเลี้ยวขวาเข้าซอยทันที  พอเราเข้าไปใกล้จึงเห็นว่าที่แท้มันคือทุ่งดอกดาวเรือง   กำลังบานสะพรั่งเหลืองอร่ามไปทั้งทุ่งทีเดียว  ได้การล่ะ  อยู่ๆก็มีของแถมถูกใจ  พวกเราทุกคนคว้ากล้องได้ก็ลุยกันทันที  ถ้าฝนไม่ไล่ก็คงไม่เลิก  จากนั้นก็เดินทางกันต่อ   และพวกเรามาถึงตลาดริมเมยเอาบ่ายจัดเข้าไปแล้ว  ความที่ผมไม่ได้มาที่นี่นานพอดู  เลยทำให้รู้สึกอะไรๆมันเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากทีเดียว

เดินเข้าไปในตลาด  ผมก็เจอเข้ากับชุดบล็อกหลัง  น้าชิตชี้ให้ดูและเชียร์ว่ามันช่วยได้  ผมกำลังเจ็บก้นและหลังอยู่  จึงเกิดสนใจทันที  หลังจากที่เดินดูของจนพอใจ ขากลับออกจากตลาดผมจึงแวะซื้อมันและใส่ติดหลังมาด้วย   มันช่วยได้มากพอสมควรทีเดียว  อาการนั่งแล้วปวดหลังดีขึ้นอย่างรู้สึกได้  ลดการเจ็บทรมานส่วนหลังลงไปเยอะ  จึงเหลือเจ็บที่ก้นเท่านั้นที่ช่วยอะไรไม่ได้  เมื่อได้ของฝากแล้ว พวกเราก็บ่ายหน้ากลับสมุทรปราการทันที  ตลอดเส้นทางเราเจอฝนเป็นช่วงๆตลอดทาง  เราแวะกินข้าวเย็นที่ร้านเดิมในนครสวรรค์  ร้านข้าวต้มนัดพบ  แต่กว่าที่เราจะหาที่จอดรถ  และกว่าที่เราจะได้กิน  ก็ต้องรอกันนาน..ทีเดียว เพราะร้านเค้ามีลูกค้าเยอะมาก  เรากลับมาถึงแยกวังน้อยราว 5 ทุ่ม  น้ายอดบอกว่าจะใช้เส้นทางวิภาฯ  โดยบอกว่ามันดึกมากแล้ว รถคงไม่น่าจะติด   แต่... ที่ไหนได้   เรามาเจอน้ำท่วมหนัก รถเล็กผ่านยาก  จึงทำให้รถติดยาวเหยียดตั้งแต่หน้าดอนเมืองจนถึงแยกรัชโยธิน   โดนไปซะ 2 ชั่วโมง  กว่าจะถึงบ้านก็ปาเข้าไปตี 2 กว่าๆ  กรรม

ขอบคุุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบครับ  


* FRW_3272.jpg (332.6 KB, 1000x670 - ดู 29 ครั้ง.)

* FRW_3280.jpg (346.63 KB, 1000x666 - ดู 29 ครั้ง.)

* FRW_3292.jpg (304.38 KB, 1000x669 - ดู 32 ครั้ง.)

* FRW_3332.jpg (296.45 KB, 1000x670 - ดู 31 ครั้ง.)
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

ผู้มีบุญก็เข้ามา  หมดวาสนาก็จากไป
chit_50
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #28 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2016, 05:13:32 AM »

...อิ่มเลยครับ...
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า
e21rts
ผู้ดูแลเว็บ
แฟนพันธ์แท้ SPC
******
ออนไลน์ ออนไลน์

กระทู้: 7,231


e21rts@outlook.co.th


ดูรายละเอียด
« ตอบ #29 เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2016, 08:01:33 PM »

น่าจะมีอีกซักครั้ง...ตอนน้ำใสกว่านี้..
แจ้งลบกระทู้นี้หรือติดต่อผู้ดูแล   บันทึกการเข้า

++คติเตือนตน++คำว่า"คนดี"..คือคำที่มีไว้เรียกคนโง่ให้ฟังสวยหรูดูดีมีเกียรติ...เพื่อหลอกให้มันหลงภาคภูมิใจ...และตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องโง่ๆของมันต่อไป..

หน้า: « 1 2   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 

กระโดดไป:  

T--shirt Motor CRC